วันนี้ ( 25 ตุลาคม 2565 ) กลุ่มชาวบ้านที่เดือดร้อนจากการไปกู้เงินกับบริษัทลิสซิ่งแห่งหนึ่งใน จ.พะเยา รวมตัวกันร้องเรียนกับสื่อมวลชน ว่าได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากไปกู้ยืมเงินจากบริษัทลิสซิ่ง ดังกล่าว โดยบริษัทฯให้เซ็นสัญญาอ้างว่าเป็นสัญญาจำนองเพื่อค้ำประกันเงินกู้ ซึ่งมีตั้งแต่หลักหมื่น – หลักล้าน โดยสำคัญผิดคิดว่านั่นคือสัญญาจำนองเพื่อค้ำประกันเงินกู้ จนกระทั่งผ่อนชำระเป็นรายงวดจนครบ จึงทราบว่าที่ดินทั้งหมดถูกสรรพากรยึดอายัดและกำลังจะดำเนินการขายทอดตลาด เพราะเจ้าของบริษัทฯเป็นหนี้ภาษีกว่า 200 ล้านบาท
นายสุเทพ อินถา ชาวอ.จุน จ.พะเยา หลานชายของนางแสงวัน อินถา หนึ่งในกลุ่มผู้เดือดร้อน เปิดเผยว่า ป้า ได้นำที่ดินไปจำนองค้ำประกันเงินกู้กับบริษัทฯ เป็นเงินหลักหมื่น โดยบริษัทได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายไว้ แต่ตลอดเวลาที่กู้เงินตนเป็นผู้ชำระค่างวดมาตลอดและเมื่อชำระครบ โดยมีเอกสารยืนยัน ได้นำเอาโฉนดที่ดินไปเพื่อเปลี่ยนกลับมาเป็นชื่อตนเอง กลับถูกที่ดินปฏิเสธอ้างว่าถูกสรรพากรยึดอายัดไว้ให้ไปติดต่อสรรพากรเอาเอง จึงรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงรวมตัวกันมาร้องขอความเป็นธรรมผ่านสื่อมวลชน
นายนิคม โพละ ชาว อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา เปิดเผยว่า ตนได้ไปยื่นกู้เงินกับบริษัทฯ และได้นำโฉนดที่ดินเนื้อที่ 1 งานไปค้ำประกันเงินกู้ 50,000 บาท และได้จ่ายคืนรายงวดจนครบและเมื่อจะนำไปจดชื่อคืนอีกครั้งก็ถูกที่ดินปฏิเสธ เพราะว่าที่ดินดังกล่าวถูกสรรพากรยึดอายัดไว้ จนได้ทำเรื่องร้องครอบครองปรปักษ์และศาลตัดสินให้เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองถึงที่สุดแล้ว ตนจึงอยากทราบว่าระหว่างศาลสถิตย์ยุติธรรมกับสรรพากรอย่างไหนมีสิทธิ์มากกว่ากัน จึงอยากให้สื่อมวลชนช่วยสะท้อนความเดือดร้อนให้
น.ส.ปานิสา ดวงทิพย์ ชาว อ.เมือง จ.พะเยา เปิดเผยว่า มารดาของตน ได้ไปกู้เงินจากบริษัทฯจำนวน 120,000 บาทและได้นำโฉนดไปค้ำประกันแต่กลับกลายเป็นสัญญาซื้อขาย แม้มารดาของตนจะผ่อนชำระจนครบแล้ว เมื่อจะนำกลับมาเป็นของมารดาตนอีกครั้งก็ถูกที่ดินปฏิเสธเพราะถูกสรรพากรยึดอายัดไว้เพื่อขายทอดตลาด ทางกลุ่มได้พยายามขอความช่วยเหลือจากส่วนราชการต่างๆ ทั้งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด สำนักงานยุติธรรมจังหวัด และ DSI. ก็ไม่เป็นผล จึงขอให้สื่อนำเสนอความเดือดร้อนนี้เพื่อทวงถามความยุติธรรมให้กับสมาชิกของกลุ่มกว่า 40 คนในจังหวัดพะเยา
ทางด้าน ส่วนกฎหมายและเร่งรัดภาษีอากรค้าง สำนักงานสรรพากรพื้นที่พะเยา ได้เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าว สรรพากรพื้นที่พะเยาได้รับทราบปัญหามาตลอดและมีการทำงานตามขั้นตอนกระบวนการทางกฎหมาย ในการพิสูจน์ทรัพย์ของบริษัทลิสซิ่งที่ถูกร้องเรียน ซึ่งยังคงค้างชำระภาษีจำนวนหนึ่ง และพบว่ามีที่ดินถือครองในชื่อของเจ้าของบริษัทฯอยู่เฉพาะจังหวัดพะเยามีถึง 40 กว่าแปลง ก็เลยยึดอายัดเพื่อขายทอดตลาดตามอำนาจและหน้าที่ และหากไม่ทำทางสรรพากรเองจะโดนคดีตามมาตรา 157 เช่นกัน พร้อมกันนี้ได้แนะนำว่าถ้าหากต้องการใช้เงินและมีทรัพย์สินหรือโฉนดค้ำประกัน ให้เข้าไปหาสถาบันการเงินหรือธนาคารของรัฐจะดีกว่า เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆที่จะตามมา แต่ถ้าเลือกไม่ได้ให้อ่านสัญญาดีดีว่าเป็นสัญญาอะไร เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่า สัญญากู้ยืม-ประกันหนี้ ฯลฯ และต้องเข้าใจในสัญญานั้นจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็จะพบกับปัญหาเหมือนกลุ่มผู้เสียหายที่ร้องกับสื่อมวลชนอย่างแน่นอน