การอยู่ในที่ตั้ง ด้วยความเงียบงัน ของ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ภายหลังจากที่ ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 5 ต่อ4 เสียงมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ สร.1 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัยออกมา โดยคาดว่าจะใช้เวลาราว 1เดือน ด้านหนึ่งคือการ แตะเบรก ทางการเมือง
แต่อีกด้านหนึ่งนี่คือ โอกาสที่เปิดช่องให้กับ ฝั่งตรงข้าม โดยเฉพาะ ขบวนการล้มลุงตู่ สามารถเคลื่อนขยับต่อไปได้อย่างมีน้ำหนัก บนความคาดหวังว่า จะเข้าใกล้ความเป็นจริงมากกว่าที่จะใช้เวทีสภาฯโค่นกันด้วยวาระ อภิปรายไม่ไว้วางใจ
ขบวนการล้มลุงตู่ ถูกจับตามองมาโดยตลอด ในท่ามกลาง กระแสข่าวที่ลือสะพัดว่าเป็นเรื่องจริง และดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นทางลับหรือเปิดเผย ผ่าน ตัวละคร หลักๆ อย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ร.อ.ธรรมนัส ยังอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ
ขณะเดียวกันยังน่าสนใจว่า การเคลื่อนไหว นอกสภาฯ ด้วยม็อบสารพัดกลุ่มทั้ง หน้าเก่า อย่าง ม็อบราษฎร จนมาถึง หน้าใหม่ ที่เคยเป็น โจทก์เก่า อย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.ที่วันนี้หันไปจับมือกับ ทนายนกเขา นิติธร ล้ำเหลือ ทั้งที่ต่างเคยยืนกันอยู่คนละข้าง แต่เมื่อวันนี้ เป้าหมายโจมตี คือพล.อ.ประยุทธ์ คือการมีศัตรูคนเดียวกัน การรวมการเฉพาะกิจจึงเกิดขึ้นอย่างที่เห็น แต่การที่จะผลักดันให้ม็อบในนามคณะหลอมรวม มีปริมาณและเพิ่มดีกรีความเข้มข้นมากไปกว่าที่เป็นอยู่ อาจเป็นเรื่องยาก ทั้งแนวร่วมไปจนถึง น้ำเลี้ยง
แต่การเปิดหน้าชนสำหรับ สารพัดม็อบที่ยังมีความพยายามเคลื่อนไหว ในห้วงเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้พล.อ.ประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่ และไม่เข้าทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล อาจยังไม่ใช่ ปัจจัย ที่มีควาแหลมคมมากพอ เมื่อเทียบกับการขยับของ ขบวนการล้มลุงตู่ ที่ว่ากันว่ามีการแตะมือกันระหว่าง คนใน และ คนนอก อย่าง พรรคเพื่อไทย
โดยการมุ่งไปสู่เป้าหมาย ของการเอา พล.อ.ประยุทธ์ ให้พ้นจากวงจรอำนาจ ทั้งในวันนี้ และวันหน้า !
เพราะอย่าลืมว่า หากที่สุดแล้วคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากที่ออกมาแล้วชี้ว่า ให้พล.อ.ประยุทธ์ ได้ไปต่อ พ้นบ่วงวาระ8ปี จะเท่ากับว่าเป็นจุดพลิกผัน ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ และ พันธมิตร กลับคืนสู่สถานการณ์ ที่เป็นต่อทันที !