#เศรษฐศาสตร์ตลาดสด โรคอุบัติใหม่ในโคกระบือ โรคลัมปี สกิน (Lumpy Skin Disease Virus: LSDV) เริ่มกระจายไป 43 จังหวัด ข้อมูลกรมปศุสัตว์ ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2564 โคกระบือติดโรคระบาดไปกว่า 29,000 ตัว ตาย 374 ตัว รักษาหายแล้วประมาณ 10,000 ตัว รัฐใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันและแก้ไขไม่ให้บานปลายไปทั่วประเทศ
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคลัมปี สกิน
– โรคลัมปี สกิน ไม่จัดเป็นโรคติดต่อระหว่างคนและสัตว์ รักษาหายได้ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค
– ข้อมูลจากสถานการณ์ปัจจุบันอัตราการป่วยของโคกระบือจากโรคลัมปี สกิน อยู่ที่ 27% ขณะที่อัตราการตายยังต่ำอยู่ที่ 0.19%
– ต้นตอระบาดที่สำคัญคือ แมลงพาหะนำโรค จากการดูดเลือดสัตว์
– รักษาสัตว์ป่วยตามอาการ เพราะเป็นโรคที่ติดเชื้อจากไวรัส ใช้ระยะเวลารักษา 30-45 วัน
– ควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์ระหว่างพื้นที่เป็นไปอย่างเข้มงวด
– แผนการกระจายวัคซีนป้องกัน LSDV เป็นไปตามหลักวิชาการและสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค เป้าหมายแรกรวม 9 จังหวัด แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ได้แก่ นครราชสีมา และ พะเยา กลุ่มที่ 2 ได้แก่ ศรีษะเกษ หนองคาย พิษณุโลก สกลนคร ขอนแก่น ร้อยเอ็ด และกาฬสินธุ์
เศรษฐศาสตร์ตลาดสดจะสรุปให้ฟัง “ย้อนมาดูโรคลัมปี สกิน มาไทยได้อย่างไร” โรค ลัมปี สกิน คนไทยไม่คุ้นชื่อและเพิ่งเกิดขึ้นในไทยเป็นครั้งแรก ต้นกำเนิดมาจากประเทศแถบแอฟริกา ในปี 2562 เริ่มระบาดมาถึงบังกลาเทศ อินเดีย ฮ่องกง จีน ไต้หวัน เนปาลและลามมาถึงประเทศอาเซียนอย่างเวียดนาม เมียนมา จนมาถึงไทย ประเทศข้างต้นมีความสัมพันธ์ทางการค้าด้านปศุสัตว์กับไทย
กรมปศุสัตว์เริ่มเฝ้าระวังมาตั้งแต่ปี 2563 อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนโรคปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เกิดจากมีการนำเข้าโคเนื้อมาเลี้ยงใหม่ในพื้นที่ในบางจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเป็นโคเนื้อที่อาจมีการลักลอบนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน แม้จะมีมาตรการควบคุมในการเคลื่อนย้ายสัตว์ข้ามด่านและระหว่างพื้นที่แต่ไม่ทันการณ์ อีกทั้งมีแมลงพาหะนำโรคที่หลุดรอดมาด้วย และสามารถบินได้ไกลถึง 50 กิโลเมตร และสุดท้ายจนเกิดโรคระบาดในโคกระบือไทยในที่สุด
“ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโคนม” ทั้งนี้ยังพบว่าข้อมูลรายงานสถานการณ์เกิดโรคของกรมปศุสัตว์พบว่าโคนมมีความไวต่อโรคเช่นกัน โคนมที่ติดเชื้อส่งผลต่อปริมาณน้ำนมลดลง 25-65% ทีเดียว ปัจจุบันจากข้อมูลขององค์การเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) มีจำนวนโค รวม 174,658 ตัว ส่งน้ำนมดิบให้ อ.ส.ค. ประมาณ 874 ตันต่อวัน โดยพื้นที่ภาคกลางมีสหกรณ์โคนมที่ส่งน้ำนมดิบจำนวน 15 สหกรณ์ มีจำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมรวมกัน 2,380 ราย รัฐกับ อ.ส.ค. จึงต้องเร่งวางแผนแก้ไขปัญหาโรคลัมปี สกิน ในฟาร์มโคนมหวั่นส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโคนมในภาพรวม
ไขข้อข้องใจ “ทำไมกรมปศุสัตว์จึงให้เงินชดเชยตามจริงแค่ 2 ตัว” กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมการเยียวยาเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากโรคลัมปี สกิน ในกรณีที่เป็นการชดเชยกรณีสัตว์ตายหรือป่วยตาย ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 “รัฐชดเชยตามจริงไม่เกินรายละ 2 ตัว” โดยเป็น “เงินสดผ่านบัญชีเงินฝากของเกษตรกร” ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
– อายุน้อยกว่า 6 เดือน: โค 6,000 บาท กระบือ 8,000 บาท
– อายุ 6 เดือน ถึง 1 ปี: โค 12,000 บาท กระบือ 14,000 บาท
– อายุมากกว่า 1 ปี ถึง 2 ปี: โค 16,000 บาท กระบือ 8,000 บาท
– อายุมากกว่า 2 ปี: โค 20,000 บาท กระบือ 22,000 บาท
ทั่วประเทศมีโคกระบือรวมประมาณ 6 ล้านตัว จากข้อมูลรายงานสถานการณ์โรคลัมปี สกิน พบว่า อัตราการป่วยของโคกระบือในโรคนี้ เฉลี่ย 27% อัตราการตายมีเพียง 0.19% “โอกาสโคกระบือตายจากโรคนี้ค่อนข้างต่ำ” ดังนั้นมาตรการที่รัฐช่วยเหลือจึงเป็นการเยียวยาเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์เป็นระยะๆ เน้นการรักษาสัตว์ตามอาการ การให้เงินชดเชยสัตว์ที่ตายจำกัดแค่ 2 ตัว เป็นไปตามระเบียบราชการ
“สรุปสั้นๆ มาตรการช่วยเหลือสำคัญ 5 ด้านมีอะไรบ้าง” กรมปศุสัตว์เสนอมาตรการเพื่อดำเนินการแก้ไขและควบคุมการระบาด ดังนี้ (1) ควบคุมการเคลื่อนย้ายโค กระบือ เพื่อลดการแพร่กระจายของโรคและปฏิบัติตามแนวทางการเคลื่อนย้ายอย่างเคร่งครัด (2) เฝ้าระวังการเกิดโรคอย่างใกล้ชิด (3) ป้องกันและควบคุมแมลงพาหะนำโรค เช่น เห็บ แมลงวัน ยุง (4) รักษาสัตว์ป่วยตามอาการ เพราะเป็นโรคที่ติดเชื้อจากไวรัส และ (5) การใช้วัคซีนควบคุมโรค โดยจะฉีดวัคซีนป้องกัน LSDV ในสัตว์ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วย และทำเครื่องหมายตีตราเย็นบนตัวสัตว์ เป็นสัญลักษณ์ “x” บนไหล่ซ้าย
ส่วน “แผนการกระจายวัคซีนเป็นไปตามหลักวิชาการและสถานการณ์แพร่ระบาด” ล่าสุดวัคซีนป้องกัน LSDV นำเข้าจากต่างประเทศเข้ามาไทยแล้ว 60,000 โดส และจะส่งมอบรอบที่ 2 อีก 300,000 โดส โดยกระจายวัคซีนรอบที่ 1 ในพื้นที่รัศมี 5-50 กิโลเมตรรอบจุดเกิดโรค รวม 9 จังหวัด แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 จังหวัดที่เกิดโรคใหม่ และยังไม่มีสัตว์ติดเชื้อในช่วงวันที่ 22-28 พ.ค. ได้แก่ นครราชสีมา และพะเยา ส่วนกลุ่มที่ 2 จังหวัดที่มีการเกิดระบาดของโรคเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยฉีดในตำบลที่ยังไม่มีการเกิดโรค และไม่มีการเคลื่อนย้ายสัตว์เข้าในพื้นที่ในช่วง 1 เดือน ได้แก่ ศรีษะเกษ หนองคาย พิษณุโลก สกลนคร ขอนแก่น ร้อยเอ็ด และกาฬสินธุ์
ล่าสุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อนุมัติให้กลุ่มเกษตรกร สมาคมผู้เลี้ยงโคกระบือและภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนป้องกันโรค LSDV ได้เช่นกันโดยปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนด และหวังใช้วัคซีนจากพืชที่ผลิตในประเทศ plant-based vaccine เสริมในลำดับต่อไป เพื่อควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคให้เร็วที่สุดและทั่วถึง
ปัจจุบันกรมปศุสัตว์มีทะเบียนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รวมกว่า 3.54 ล้านคน ต้องรอดูว่ามาตรการเยียวยาเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รอบใหม่จะตามมาหรือไม่ ไม่เพียงแค่เกษตรกรเลี้ยงโคกระบือที่เดือดร้อนอย่างหนัก เกษตรกรเลี้ยงสัตว์ต้องเฝ้าระวังโรคระบาดในสัตว์อื่นๆอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นโรคอหิวาต์แอฟริกัน และโรคเพิร์สที่ระบาดในหมู อีกทั้งโรคไข้หวัดนกที่ทำท่าจะมาอีกรอบ
โรคระบาดโจมตีทั้งคนและสัตว์ติดๆกันมาไม่หยุดยั้ง รัฐต้องเร่งช่วยเหลือเกษตรกรเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาไม่ให้โรคระบาดในสัตว์แพร่กระจายเป็นวงกว้าง ไม่อย่างนั้นภาคปศุสัตว์และอุตสาหกรรมเกษตรที่เกี่ยวข้องแบกรับต้นทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเหมือนโดนฟ้าผ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
#ทีมที่ปรึกษาข่าวเศรษฐกิจ #เศรษฐศาสตร์ตลาดสด